ชาและยา
อัพเดทล่าสุด: 30 มิ.ย. 2025
29 ผู้เข้าชม
ชาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมานานหลายศตวรรษ ไม่เพียงเพราะรสชาติที่กลมกล่อมและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังรวมถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากหลาย ขณะเดียวกัน ยาแผนปัจจุบันก็เป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การบริโภคชาร่วมกับการใช้ยาอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ หากไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างชาและยา เพื่อให้สามารถบริโภคชาได้อย่างปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุด
ชา: มากกว่าแค่เครื่องดื่ม
ชาอุดมไปด้วยสารชีวภาพนานาชนิด เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ คาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นกลุ่มสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่พบมากในชาเขียว นอกจากนี้ ชายังมี คาเฟอีน (Caffeine) และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ที่ส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์
คุณประโยชน์ของชาที่ได้รับการศึกษาและยอมรับ ได้แก่:
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด: สารต้านอนุมูลอิสระในชาช่วยลดการอักเสบและป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
ปรับปรุงการทำงานของสมอง: คาเฟอีนและแอล-ธีอะนีนช่วยเพิ่มความตื่นตัว สมาธิ และความจำ
ควบคุมน้ำหนัก: ชาบางชนิด เช่น ชาเขียว อาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: สารในชาอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด: การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าสารโพลีฟีนอลอาจมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ปฏิกิริยาระหว่างชาและยา: สิ่งที่คุณควรรู้
แม้ว่าชาจะมีประโยชน์ แต่สารออกฤทธิ์ในชาอาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง إليك ปฏิกิริยาที่พบบ่อย:
1. การดูดซึมยา:
แทนนิน (Tannins) ในชา: แทนนินสามารถจับกับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีโครงสร้างเป็นด่าง (เช่น ยาแก้แพ้บางชนิด ยาที่ใช้รักษาอาการทางจิต) หรือยาที่มีธาตุเหล็ก ทำให้การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกายลดลง ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
ยาที่ควรระวัง:
ยาที่มีธาตุเหล็ก: เช่น ยาบำรุงเลือด การดื่มชาพร้อมกับยาเหล่านี้จะลดการดูดซึมธาตุเหล็กอย่างมีนัยสำคัญ
ยาลดกรด: บางชนิด
ยาสำหรับโรคพาร์กินสัน: เช่น เลโวโดปา (Levodopa)
2. การเผาผลาญยา:
เอนไซม์ CYP450: สารบางชนิดในชา โดยเฉพาะในชาเขียว อาจส่งผลต่อการทำงานของเอนไซม์ CYP450 ในตับ ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักในการเผาผลาญยาหลายชนิด การเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์นี้อาจทำให้ระดับยาในเลือดสูงขึ้นหรือลดลงกว่าปกติ
ยาที่ควรระวัง:
ยาวาร์ฟาริน (Warfarin): ยาต้านการแข็งตัวของเลือด สารในชาเขียวบางชนิดอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก
ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคหัวใจ: เช่น อะมิโอดาโรน (Amiodarone)
ยาที่ใช้ลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (Statins): เช่น ซิมวาสแตติน (Simvastatin)
3. ผลต่อระบบประสาทและหัวใจ:
คาเฟอีนในชา: คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้น หากดื่มชาที่มีคาเฟอีนสูงร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยารักษาโรคหอบหืดบางชนิด (เช่น ธีโอฟิลลีน Theophylline) หรือยาสำหรับโรคสมาธิสั้น (เช่น เมทิลเฟนิเดต Methylphenidate) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการใจสั่น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ หรือหัวใจเต้นเร็ว
ยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด: การดื่มชาปริมาณมากอาจส่งผลต่อความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับยาที่ใช้รักษาโรคเหล่านี้
คำแนะนำในการบริโภคชาและยาอย่างปลอดภัย
เพื่อลดความเสี่ยงของปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ และได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งจากชาและยา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: สิ่งสำคัญที่สุดคือการแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือชาที่คุณดื่มเป็นประจำ พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นและวิธีหลีกเลี่ยง
เว้นระยะห่างในการดื่มชาและรับประทานยา: หากจำเป็นต้องดื่มชา ให้เว้นระยะห่างจากการรับประทานยาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง โดยเฉพาะยาที่มีความสำคัญต่อการดูดซึม เช่น ยาที่มีธาตุเหล็ก ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร
หลีกเลี่ยงการดื่มชาเข้มข้น: ชาเข้มข้นมีปริมาณสารออกฤทธิ์สูง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดปฏิกิริยากับยา
ระมัดระวังปริมาณคาเฟอีน: หากคุณต้องจำกัดปริมาณคาเฟอีน หรือใช้ยาที่มีผลต่อระบบประสาท ควรเลือกชาที่ไม่มีคาเฟอีน (เช่น ชาสมุนไพรบางชนิด) หรือชาที่มีคาเฟอีนต่ำ
สังเกตอาการผิดปกติ: หากคุณรู้สึกไม่สบาย หรือมีอาการผิดปกติใด ๆ หลังจากดื่มชาและรับประทานยา ควรหยุดดื่มชาและปรึกษาแพทย์ทันที
สรุป: ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่การดื่มชาร่วมกับการใช้ยาจำเป็นต้องทำด้วยความเข้าใจและระมัดระวัง สารออกฤทธิ์ในชาสามารถทำปฏิกิริยากับยาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการดูดซึม การเผาผลาญ หรือผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ และมั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี
ชา: มากกว่าแค่เครื่องดื่ม
ชาอุดมไปด้วยสารชีวภาพนานาชนิด เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ คาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นกลุ่มสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่พบมากในชาเขียว นอกจากนี้ ชายังมี คาเฟอีน (Caffeine) และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ที่ส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์
คุณประโยชน์ของชาที่ได้รับการศึกษาและยอมรับ ได้แก่:
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด: สารต้านอนุมูลอิสระในชาช่วยลดการอักเสบและป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
ปรับปรุงการทำงานของสมอง: คาเฟอีนและแอล-ธีอะนีนช่วยเพิ่มความตื่นตัว สมาธิ และความจำ
ควบคุมน้ำหนัก: ชาบางชนิด เช่น ชาเขียว อาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: สารในชาอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด: การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าสารโพลีฟีนอลอาจมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ปฏิกิริยาระหว่างชาและยา: สิ่งที่คุณควรรู้
แม้ว่าชาจะมีประโยชน์ แต่สารออกฤทธิ์ในชาอาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง إليك ปฏิกิริยาที่พบบ่อย:
1. การดูดซึมยา:
แทนนิน (Tannins) ในชา: แทนนินสามารถจับกับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีโครงสร้างเป็นด่าง (เช่น ยาแก้แพ้บางชนิด ยาที่ใช้รักษาอาการทางจิต) หรือยาที่มีธาตุเหล็ก ทำให้การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกายลดลง ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
ยาที่ควรระวัง:
ยาที่มีธาตุเหล็ก: เช่น ยาบำรุงเลือด การดื่มชาพร้อมกับยาเหล่านี้จะลดการดูดซึมธาตุเหล็กอย่างมีนัยสำคัญ
ยาลดกรด: บางชนิด
ยาสำหรับโรคพาร์กินสัน: เช่น เลโวโดปา (Levodopa)
2. การเผาผลาญยา:
เอนไซม์ CYP450: สารบางชนิดในชา โดยเฉพาะในชาเขียว อาจส่งผลต่อการทำงานของเอนไซม์ CYP450 ในตับ ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักในการเผาผลาญยาหลายชนิด การเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์นี้อาจทำให้ระดับยาในเลือดสูงขึ้นหรือลดลงกว่าปกติ
ยาที่ควรระวัง:
ยาวาร์ฟาริน (Warfarin): ยาต้านการแข็งตัวของเลือด สารในชาเขียวบางชนิดอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก
ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคหัวใจ: เช่น อะมิโอดาโรน (Amiodarone)
ยาที่ใช้ลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (Statins): เช่น ซิมวาสแตติน (Simvastatin)
3. ผลต่อระบบประสาทและหัวใจ:
คาเฟอีนในชา: คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้น หากดื่มชาที่มีคาเฟอีนสูงร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยารักษาโรคหอบหืดบางชนิด (เช่น ธีโอฟิลลีน Theophylline) หรือยาสำหรับโรคสมาธิสั้น (เช่น เมทิลเฟนิเดต Methylphenidate) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการใจสั่น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ หรือหัวใจเต้นเร็ว
ยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด: การดื่มชาปริมาณมากอาจส่งผลต่อความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับยาที่ใช้รักษาโรคเหล่านี้
คำแนะนำในการบริโภคชาและยาอย่างปลอดภัย
เพื่อลดความเสี่ยงของปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ และได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งจากชาและยา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: สิ่งสำคัญที่สุดคือการแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือชาที่คุณดื่มเป็นประจำ พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นและวิธีหลีกเลี่ยง
เว้นระยะห่างในการดื่มชาและรับประทานยา: หากจำเป็นต้องดื่มชา ให้เว้นระยะห่างจากการรับประทานยาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง โดยเฉพาะยาที่มีความสำคัญต่อการดูดซึม เช่น ยาที่มีธาตุเหล็ก ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร
หลีกเลี่ยงการดื่มชาเข้มข้น: ชาเข้มข้นมีปริมาณสารออกฤทธิ์สูง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดปฏิกิริยากับยา
ระมัดระวังปริมาณคาเฟอีน: หากคุณต้องจำกัดปริมาณคาเฟอีน หรือใช้ยาที่มีผลต่อระบบประสาท ควรเลือกชาที่ไม่มีคาเฟอีน (เช่น ชาสมุนไพรบางชนิด) หรือชาที่มีคาเฟอีนต่ำ
สังเกตอาการผิดปกติ: หากคุณรู้สึกไม่สบาย หรือมีอาการผิดปกติใด ๆ หลังจากดื่มชาและรับประทานยา ควรหยุดดื่มชาและปรึกษาแพทย์ทันที
สรุป: ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่การดื่มชาร่วมกับการใช้ยาจำเป็นต้องทำด้วยความเข้าใจและระมัดระวัง สารออกฤทธิ์ในชาสามารถทำปฏิกิริยากับยาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการดูดซึม การเผาผลาญ หรือผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ และมั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสารพฤกษเคมี(phytochemicals) ที่น่าสนใจมากมายสารเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสรรพคุณที่เป็นเอกลักษณ์ของชาแต่ละชนิด
4 ส.ค. 2025